ขายได้วันละ 3,000 บาท ต้องเสียภาษีเท่าไหร่? วิธีคิดภาษีสำหรับร้านอาหารขนาดเล็ก
ในสถานการณ์โรคระบาดนี้ ทำให้หลายคนจำใจต้องปรับเปลี่ยนอาชีพ มีอาชีพเสริมอย่างเปิด Home Delivery หรือขายอาหารออนไลน์ ซึ่งสิ่งที่มือใหม่ต้องอย่าลืมและควรวางแผนให้ดีนั้นคือ เรื่องภาษี หรือแม้จะเปิดร้านอาหารมานานแล้ว หลายๆ ร้านก็ไม่เคยยื่นภาษี เพราะคิดว่าร้านตัวเองเป็นร้านเล็กๆ ขายได้วันละพันต้นๆ คงไม่เป็นไร แต่ 1 เดือนก็เป็นแสน 1 ปีก็เป็นล้าน หากมีรายได้แต่ไม่เสียภาษีนั่นอาจจะมีผลเสียตามมาได้ เช่น สรรพากรเกิดเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง เพราะฉะนั้น แม้ร้านเล็กๆ รายได้จะน้อยก็ต้องยื่นภาษี ทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรกน่าจะเป็นเรื่องที่ดีมากกว่า
คำถามต่อมาคือ แล้วต้องเสียภาษีเท่าไหร่? ลองมาดูกันว่าหากร้านอาหารของคุณขายได้วันละ 3,000 บาทต้องเสียภาษีเท่าไหร่?
ภาษีเบื้องต้นที่ต้องรู้
ภาษีหลักๆ ที่คนมีรายได้ต้องคำนึงถึงคือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม คนทำร้านอาหารก็เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่ามีเงินได้สุทธิต่อปีเท่าไหร่
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะเสียภาษีนี้ต่อเมื่อเงินได้สุทธิต่อปีสูงกว่า 150,000 บาท โดยจะเสียภาษีตามขั้นบันได
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ Vat 7% จะเสียภาษีนี้ต่อเมื่อเงินได้สุทธิต่อปีสูงกว่า 1,800,000 บาท
ศัพท์ภาษีเบาๆ
นอกจากนี้ควรทำความเข้าใจกับคำว่า เงินได้ เงินได้สุทธิ ค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน เพื่อที่จะคำนวณการจ่ายภาษีได้ถูกต้อง
- เงินได้ คือ รายได้หรือยอดขายที่ได้รับมาทั้งหมด (ไม่ใช่กำไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องหักค่าใช้จ่ายใดๆ)
- เงินได้สุทธิ คือ เงินได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
- ค่าใช้จ่าย คือ สิ่งที่กฎหมายกำหนดให้หัก ซึ่งกฎหมายให้ทางเลือกในการหักค่าใช้จ่ายไว้ 2 ทาง คือ หักเหมา 60% หรือ หักค่าใช้จ่ายตามจริง โดยในกรณีต้องการยื่นหักค่าใช้จ่ายตามจริงอย่างลืม! เก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายเพื่อยื่นภาษีไปด้วย
- ค่าลดหย่อน คือ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ช่วยทำให้เสียภาษีน้อยลงเมื่อ คำนวณภาษี เช่น ลดหย่อนค่าใช้จ่ายส่วนตัว ลดหย่อนค่าประกันสังคม ลดหย่อนการทำประกันชีวิต ลดหย่อนดอกเบี้ยเงินซื้อบ้านหลังแรก เป็นต้น
เสียภาษีเท่าไหร่ ดูจากเงินได้ / ปี
อย่างที่บอกไปเบื้องต้น จะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อเงินได้สุทธิต่อปีสูงกว่า 150,000 บาท หรือ เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ Vat 7% ต่อเมื่อเงินได้สุทธิต่อปีสูงกว่า 1,800,000 บาท เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่าเงินได้สุทธิต่อปีของร้านเราก่อน
- ยอดขาย วันละ 3,000 บาท
ยอดขาย 1 เดือน 3,000 x 30 วัน = 90,000 บาท / เดือน
เพราะฉะนั้นใน 1 ปีมียอดขาย 90,000 บาท x 12 เดือน = 1,080,000 บาท / ปี
นำยอดขายใน 1 ปีซึ่งเราจะเรียกในส่วนนี้ว่า “เงินได้” เพื่อไปหา “เงินได้สุทธิ” กันต่อไป
เงินได้ 1,080,000 บาท / ปี (- ค่าใช้จ่าย 60% คือ 648,000 บาท) (- ลดหย่อนค่าใช้จ่ายส่วนตัว 60,000 บาท) (- ลดหย่อนค่าประกันสังคม 9,000 บาท) = เงินได้สุทธิ / ปี คือ 363,000 บาท
เพราะฉะนั้นคุณต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะเงินได้สุทธิต่อปีสูงกว่า 150,000 บาท โดยเสียภาษีตามอัตราภาษีขั้นบันได แต่คุณไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ Vat 7% เพราะเงินได้สุทธิต่อปีต่ำกว่า 1,800,000 บาท
อัตราการเสียภาษีตามขั้นบันไดคืออะไร ?
อัตราการเสียภาษีตามขั้นบันได คือ ยิ่งมีรายได้มากก็จะมีอัตราเสียภาษีที่มากขึ้นไปด้วย สิ่งที่ต้องทำคือดูว่าเงินได้สุทธิของเราอยู่ในขั้นไหน ก็จะเสียภาษีตามอัตราภาษีขั้นนั้นๆ
- ขั้นที่ 1. เงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี
- ขั้นที่ 2. เงินได้สุทธิ 150,001 – 300,000 บาท อัตราภาษี 5%
- ขั้นที่ 3. เงินได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท อัตราภาษี 10%
- ขั้นที่ 4. เงินได้สุทธิ 500,001 – 750,000 บาท อัตราภาษี 15%
- ขั้นที่ 5. เงินได้สุทธิ 750,001 – 1,000,000 บาท อัตราภาษี 20%
- ขั้นที่ 6. เงินได้สุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท อัตราภาษี 25%
- ขั้นที่ 7. เงินได้สุทธิ 2,000,001 – 5,000,000 บาท อัตราภาษี 30%
- ขั้นที่ 8. เงินได้สุทธิ 5,000,000 เสียภาษี 35%
หมายเหตุ: อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2563
ดังนั้นร้านของคุณมีเงินได้สุทธิอยู่ในขั้นที่ 3. เงินได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท อัตราภาษี 10%
ขายได้เดือนละ 100,000 ต้องเสียภาษีเท่าไหร่?
วิธีคำนวณภาษีที่ต้องเสียเป็นตัวเงิน คือ
ร้านของคุณมีเงินได้สุทธิ 363,000 บาท
ขั้นที่ 1. 150,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษี
ขั้นที่ 2. เงินได้สุทธิจำนวนสูงสุดของขั้นนี้คือ 150,000 บาท ในขั้นนี้เสียภาษี 5%
ดังนั้น 150,000 x 5% = 7,500 บาท
ขั้นที่ 3. 363,000 – (ขั้นที่ 1. 150,000 บาท) – (ขั้นที่ 2. 150,000 บาท) = 63,000 บาท
ดังนั้น 63,000 x 10% = 6,300 บาท
สรุปรวมแล้วคุณต้องเสียภาษี 7,500 + 6,300 = 13,800 บาท
ดูเหมือนจะเป็นตัวเงินหลักหมื่นที่เยอะ แต่จริงๆ แล้วคุณอาจะมีค่าลดหย่อนที่มากกว่าตัวอย่างนี้ก็ได้ ซึ่งทางรัฐก็มีการช่วยลดหย่อยหลายรายการสามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ กรมสรรพากร คลิก
เรียนรู้เรื่องบัญชีและภาษีเพิ่มเติมได้ที่คอร์สเรียนออนไลน์ฟรี! คลิก
ทั้งนี้อย่าลืมทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อรู้ว่าเรามีรายได้ ต้นทุน–กำไรเท่าไหร่กันแน่ รู้ที่มาของรายรับ-รายจ่าย และเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นภาษีซึ่งส่วนนี้สำคัญมาก ๆ และยังใช้เป็นหลักฐานยืนยันในกรณีถูกตรวจสอบบัญชีได้อีกด้วย
สนใจเรียนคอร์สการจัดการงบกำไร ขาดทุนอย่างง่าย ได้ที่นี่ คลิก